"การเรียกร้องค่าเสียหายของผู้เสียหายนอกเหนือจากความผิด 9 หมวดตามมาตรา 43 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา" ตามมาตรา 43 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ได้กำหนดให้ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความผิด 9 หมวด ได้แก่ ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอก และรับของโจร อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เสียหายในคดีอาญาอื่นๆ นอกเหนือจากความผิด 9 หมวดนี้ ก็ยังคงมีสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายได้เช่นกัน แต่อาจมีขั้นตอนและวิธีการที่แตกต่างออกไป 1. การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ผู้เสียหายสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาได้ โดยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีส่วนแพ่งรวมไปกับคดีอาญา ซึ่งศาลจะพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปพร้อมกับคดีอาญา ทั้งนี้ ผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องก่อนเริ่มสืบพยานในชั้นศาล หากคดีอาญาสิ้นสุดลงโดยการยกฟ้องหรือจำเลยถูกลงโทษ ศาลก็ยังสามารถพิจารณาคดีส่วนแพ่งต่อไปได้ 2. การฟ้องคดีแพ่งแยกต่างหาก หากผู้เสียหายไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีส่วนแพ่งรวมกับคดีอาญา หรือศาลมีคำสั่งให้แยกคดีส่วนแพ่งออกจากคดีอาญา ผู้เสียหายก็สามารถฟ้องคดีแพ่งแยกต่างหากได้ โดยต้องดำเนินการภายในอายุความทางแพ่ง ซึ่งโดยทั่วไปคือ 1 ปีนับแต่วันที่รู้ถึงการกระทำความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด แต่ไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่มีการกระทำความผิด 3. การใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ผู้เสียหายในคดีอาญาบางประเภท เช่น ความผิดต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือเพศ สามารถยื่นคำขอรับค่าตอบแทนจากรัฐได้ตามพระราชบัญญัตินี้ โดยยื่นคำขอต่อคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา 4. การเจรจาตกลงกับผู้กระทำความผิด ในบางกรณี ผู้เสียหายอาจเลือกที่จะเจรจาตกลงกับผู้กระทำความผิดโดยตรง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายนอกศาล ซึ่งอาจเป็นวิธีที่รวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการดำเนินคดีในศาล อย่างไรก็ตาม ควรทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรและมีพยานรับรู้ เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต 5. การใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ในบางคดี อาจมีการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ เช่น การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หรือการประชุมกลุ่มครอบครัว ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดได้พูดคุยและหาทางออกร่วมกัน รวมถึงการชดใช้ค่าเสียหาย 6. การใช้สิทธิตามกฎหมายเฉพาะ ในบางกรณี อาจมีกฎหมายเฉพาะที่ให้สิทธิแก่ผู้เสียหายในการเรียกร้องค่าเสียหาย เช่น พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิด หรือพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 ในกรณีที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย 7. การใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในกรณีที่การกระทำความผิดทางอาญาก่อให้เกิดความเสียหายทางแพ่งด้วย ผู้เสียหายสามารถใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ เช่น การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรณีละเมิด ข้อควรพิจารณาในการเรียกร้องค่าเสียหาย: 1. ประเภทของค่าเสียหายที่สามารถเรียกร้องได้ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ ค่าเสียหายทางจิตใจ เป็นต้น 2. การพิสูจน์ความเสียหาย ผู้เสียหายควรรวบรวมหลักฐานที่แสดงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน 3. ความคุ้มค่าในการดำเนินคดี ควรพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการดำเนินคดีเทียบกับค่าเสียหายที่คาดว่าจะได้รับ 4. โอกาสในการบังคับคดี ควรพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กระทำความผิด สรุป แม้ว่ามาตรา 43 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะกำหนดวิธีการเรียกร้องค่าเสียหายสำหรับความผิด 9 หมวดโดยเฉพาะ แต่ผู้เสียหายในคดีอาญาอื่นๆ ก็ยังมีช่องทางในการเรียกร้องค่าเสียหายได้หลายวิธี ทั้งการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การฟ้องคดีแพ่งแยกต่างหาก การใช้สิทธิตามกฎหมายเฉพาะ หรือการเจรจาตกลงนอกศาล ผู้เสียหายควรพิจารณาเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์และลักษณะของความเสียหายที่ได้รับ เพื่อให้ได้รับการเยียวยาอย่างเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ติดต่อสำนักงาน
144/165 หมู่ 4 ตำบล ห้วยเหนือ อำเภอ ขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
jutha9940@tanaitone.com
094 524 1915
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อเรา
สงวนลิขสิทธิ์ © 2565 ขอสงวนสิทธิ์ทั้งหมดตามกฎหมาย